เรือนเวลาแห่งหอดูดาว Omega Constellation “Manhattan” 131.55.29.20.55.001

ตั้งแต่ยุคต้นศตวรรษที่ 19 การแข่งขันความเที่ยงตรงของนาฬิกาจักรกล มักจะจัดขึ้นที่หอดูดาวในฝั่งยุโรปตะวันออก เนื่องจากวันเวลาของโลกมนุษย์จะขึ้นอยู่กับการดาราศาสตร์เป็นหลัก สนามสำคัญในการแข่งขันจัดตามเมืองที่มีหอดูดาวต่าง ๆ เช่น Neuchâtel, Geneva ,Besançon และ Kew

ในการแข่งขัน 45 วันโดยวางนาฬิกา 5 ตำแหน่ง x 2 อุณหภูมิ Omega สร้างสถิติโลกจาก Caliber 47.7 ที่ทำคะแนน 97.8/100 ในปี 1936 ที่สนาม Kew และสถิตินี้ไม่สามารถถูกทำลายได้เลยจนถึงปี 1965 หรืออีก 29 ปีต่อมา และแม้ในปีอื่นๆ Omegaก็ครองความเป็นที่ 1 ติดต่อกันมากกว่า 20 ครั้ง สร้างสถิติต่าง ๆ มากมาย จนได้ขนานนามว่าเป็นเจ้าแห่งหอดูดาว

Constellation ถูกสร้างมาเพื่อเฉลิมฉลองความภาคภูมิใจนี้ โดยที่ฝาหลังของคอลเลกชั่น มักจะสลักรูปหอดูดาวไว้ เพื่อระลึกถึงความสำเร็จยิ่งใหญ่ในช่วงเวลานั้น ก่อนจะถึงยุคของนาฬิกา Quartz และ Moon Watch ซึ่ง Omega ก็ไม่ได้สะทกสะท้าน เพราะ Omega ได้ปรับตัวล่วงหน้าเพื่อเข้าสู่วิกฤตินาฬิกา Quartz ได้ก่อนใคร และแถมยังชนะ ได้รับเลือกจากองค์การนาซ่าให้เป็นนาฬิกาประจำตัวนักบินอวกาศโครงการ Apollo อีกด้วย

Constellation ผลิตออกมาอย่างเป็นทางการครั้งแรกในปี 1952 โดยมีภาพลักษณ์ที่โดดเด่น คือ หน้าปัดทรงถาดพาย (Pie-Pan) หลักชั่วโมงรูปเพชร ดวงดาวที่อยู่บริเวณ 6 นาฬิกา และฝาหลังสลักภาพหอดูดาวซึ่งมาจากความสำเร็จของOmegaที่ผ่านการทดสอบความแม่นยำในช่วงเวลานั้น

ใช้กลไกอัตโนมัติ Caliber 354 Bumper Rotor ซึ่งด้วยวัสดุคุณภาพดีเยี่ยมและมีความเที่ยงตรงมากที่สุดทำให้Constellation เป็นที่รู้จักกันในนาม“The Swiss watch”นาฬิกาที่ใช้กลไกจากสวิส มีคุณภาพและได้มาตรฐานของสวิส

Constellation ออกมาอีกหลายรุ่น ทั้งเรือนเหลี่ยม เรือนกลม สายเหล็ก สายหนัง รวมถึงเครื่อง Quartz แต่จุดขายยังอยู่ที่ความเที่ยงตรงและความสำเร็จจากการแข่งขันสนาม "หอดูดาว" อย่างสม่ำเสมอ จนกระทั่งปี 1982 Omegaได้เปิดตัวนาฬิการุ่นใหม่ในตระกูล Constellation อย่าง Manhattan ออกมา ที่ขับเคลื่อนด้วยกลไก Quartz Caliber 1431 ที่มีความเที่ยงตรงสูง มีเอกลักษณ์ที่เด่นชัด คือ “Griffes” (กรงเล็บ) สองคู่ บริเวณ 3 และ 9 นาฬิกา ซึ่งทำหน้าที่ยึดกระจกแซฟไฟร์และซีลยางให้ติดกับตัวเรือน เพื่อให้มั่นใจว่านาฬิกาจะสามารถรักษาคุณสมบัติการกันน้ำไว้ได้

การเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่อีกครั้งของ Constellation ในปี 1995 โดยการแทนที่กระจกแซฟไฟท์แบน ด้วยกระจกทรงโดมและลดขนาดหน้าปัดลง ซึ่งหมายความว่าขอบตัวเรือนไม่ได้ถูกครอบด้วยกระจกแซฟไฟท์ แต่ยังคงเอกลักษณ์ที่เด่นชัดอย่าง Griffes สองคู่ถึงแม้จะไม่ได้ทำหน้าที่เดิมของมัน

มีการย้ายหลักเลขโรมันจากเดิมที่อยู่บนหน้าปัดมาอยู่บนขอบตัวเรือน และเพิ่มหลักขีดทรง Baton (บาตอง) ประดับเพชร รวมถึงอัพเดทกลไกเป็นระบบ Quartz Caliber 1120

ในเวลาเดียวกัน Omega ได้ให้ Cindy Crawford เป็น Brands Ambassador โปรโมต Constellation ทำให้นับแต่นั้นมา Omega เลือกที่จะใช้คนดัง ดารา นักกีฬาที่มีชื่อเสียงมาโปรโมตนาฬิกา

Omega Constellation “Double Eagle” (2003)

ปี 2003 Constellation เปิดตัวรุ่นใหม่ Double Eagle ในทัวร์นาเมนต์กอล์ฟรายการ OMEGA European Masters มาในขนาดตัวเรือน 31 มม. Griffes ขนาดใหญ่ขึ้น เข็มแบบ Dauphine (โดแฟ็ง)

พร้อมด้วยกลไกระบบ Co-Axial Chronometer Caliber 2500 ซึ่งเป็นกลไก Co-Axial แบบแรกของ Omega คิดค้นโดย ดร.จอร์จ เดเนียล (Dr.George Daniels) ซึ่งช่วยลดการเสียดสีของชิ้นส่วนภายในนาฬิกา ทำให้ยืดอายุการใช้งานของกลไกและทำให้กลไกทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีความเสถียร และเที่ยงตรงมากขึ้น

ในปี 2009 คอลเลคชั่น Constellation ได้ปรับภาพลักษณ์ใหม่ไม่ว่าจะเป็น Griffes ทั้งสองคู่ และหลากหลายหน้าปัดทั้งหน้าเงิน, แชมเปญ, น้ำตาล, ขาวมุก รวมถึงลายหน้าปัดรัศมีซุปเปอร์โนวาที่แผ่ออกจากดวงดาว หลักชั่วโมงและขอบตัวเรือนประดับเพชร และสายข้อมือแบบ Mono-Rang ที่ออกแบบมาเพื่อความสะดวกสบายของผู้ส่วมใส่ บานพับทรงผีเสื้อ Constellation 2009 มีหลายขนาดและกลไก ขนาด 24 และ 27 มม. ใช้กลไก Quartz Caliber 1376 ขนาด 35 มม. ใช้กลไก Quartz Caliber 1532 หรือ Omega’s Co-Axial Caliber 2500

แน่นอนว่าความเป็นเอกลักษณ์และความงดงามของ Constellationยังไม่หยุดเพียงเท่านี้

ในปี 2018 คอลเลคชั่น Manhattan ถูกสร้างขึ้นมาอีกครั้งในหลายขนาดทั้ง 25, 28 และ 29 มม.

เรือนที่เราจะมาพูดถึงกันวันนี้คือ Omega Constellation Manhattan 131.55.29.20.55.001

ตัวเรือน 29 มม. ตัวเรือนทำจาก Sedna™ Gold ทั้งเรือน (Sedna Gold เป็นทอง 18k ในกลุ่ม 5N หรือสีออกไปทางแดง) เอกลักษณ์อย่าง Griffes ทั้งสองคู่ ได้ปรับให้บางลง รวมถึงความละเอียดในการออกแบบเม็ดมะยมแต่ละซี่เป็นทรงครึ่งพระจันทร์ ให้สอดคล้องกับมุมครึ่งพระจันทร์บนตัวเรือน หน้าปัดมุกขาว หลักชั่วโมงและขอบตัวเรือนที่ขัดแบบซาตินอย่างดีพร้อมประดับเพชร ช่องแสดงวันที่ตั้งอยู่บริเวณ 6 นาฬิกา หน้าปัดครอบด้วยกระจกแซฟไฟท์ทรงโดม กันรอยขีดข่วนพร้อมกับป้องกันแสงสะท้อนทั้งสองด้าน

นอกจากนี้ทั้งเข็มนาฬิกา,โลโก้ Omega, ดวงดาว และฐานรองเพชรล้วนทำจากทอง Sedna™ Gold ทั้งสิ้น

สายข้อมือ Sedna™ Gold แบบ Mono Rang ที่ให้ความรู้สึกสะดวกสบายเมื่อส่วมใส่ และMid-Bar Links ที่มีมาเฉพาะโมเดล 29 มม.เท่านั้น

ส่วนฝาหลังแทนที่ภาพสลักหอดูดาว ด้วยกระจกแซฟไฟท์เพื่อสอดรับกับความหนาของกลไกที่เพิ่มขึ้น เปิดให้เห็นกลไกโรเตอร์และสะพานจักรกลอกก็ยังทำด้วย Sedna™ Gold พร้อมตกแต่งด้วยลาย Geneva waves ยิ่งทำให้เรือนนี้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้นไปอีก

เครื่อง Co-Axial Master Chronometer Caliber 8701 ได้รับการรับรองมาตรฐานจาก C.O.S.C. (the Official Swiss Chronometer Control) ผ่านการทดสอบคุณภาพความเที่ยงตรง ความแม่นยำต่างๆ ภายใต้สภาวะแม่เหล็ก 15,000 Gauss ซึ่งทำให้กลไกนี้มีความแม่นยำสูงสุดประสิทธิภาพและความเสถียรมากที่สุด สำรองพลังงานได้ 50 ชม.ความสามารถในการกันน้ำได้ 50 ม.

ต้องบอกเลยว่า Omega Constellation Manhattan 131.55.29.20.55.001 เรือนนี้ได้คงความคลาสสิคด้วยกรงเล็บทั้ง 2 คู่ ผสมผสานกับความทันสมัยด้วยรูปลักษณ์ที่หรูหรา อ่อนช้อยได้อย่างลงตัว รวมถึงความเที่ยงตรงและประสิทธิภาพอันดีเยี่ยม เมื่อคุณสุภาพสตรีได้ส่วมใส่แล้วแน่นอนว่ามันจะส่องแสงเปล่งประกายบนข้อมือของคุณและจะกลายร่างเป็นเรือนเวลาสุดโปรดของคุณในที่สุดค่ะ