Bvlgari Serpenti จากอสรพิษสู่ความงามอมตะ
เพียงเอ่ยคำว่า “งู” ขึ้นมา คงทำให้หลายท่านต้องพากันขยาดกันเป็นแถว แต่ทำไม Bvlgari ถึงเลือกอสรพิษร้ายมาเป็นรูปแบบหลักของคอลเลคชั่น Serpenti จนกลายเป็นดาวค้างฟ้าตั้งแต่ยุคของ Elizabeth Taylor คลีโอพัตราในตำนานแห่งปี 1962 จนมาอยู่บนข้อมือของไอดอลเกาหลีเชื้อชาติไทยแห่งยุคนี้อย่าง Lisa Blackpink วันนี้เราจะพาทุกท่านไปล้วงลึกถึงที่มาของ Bvlgari Serpenti Watch นาฬิกาที่ได้รับแรงบันดาลใจจากอสรพิษในตำนาน รวมถึงวิวัฒนาการตั้งแต่แรกเริ่มจนถึงปัจจุบันกันค่ะ
ประวัติ Bvlgari
ในปี 1884 Bvlgari ถูกก่อตั้งขึ้นโดย Sotirios Voulgaris ช่างทำเครื่องเงินชาวกรีก ชื่อของแบรนด์มาจากชื่อของผู้ก่อตั้ง “Voulgaris” และ “Bvlgari” มีความหมายว่า “บัลแกเลีย” เช่นเดียวกัน ซึ่งตัวอักษร “v” ในชื่อแบรนด์อาจทำให้หลายท่านสงสัย ความจริงแล้วมันคือตัวอักษร “u” ในภาษาลาติน ซึ่งทำให้ชื่อแบรนด์อ่านว่า “Bulgari” อย่างที่เราเรียกกันในทุกวันนี้
ถึงแม้ Sotirios จะมีสายเลือดกรีกอยู่เต็มตัว แต่เขาได้ย้ายมาสร้างอนาคตใหม่ที่กรุงโรมในปี 1881 และได้เปิดร้านเครื่องประดับแรกของเขาที่กรุงโรมในปี 1884 ชื่อว่าร้าน “Bvlgari” ซึ่งแรกเริ่มจำหน่ายเพียงเครื่องประดับเท่านั้น
และในปี 1905 Bvlgari สาขาถนน Via dei Condotti ที่ถือว่าเป็นสาขาเรือธงของทางแบรนด์ก็ได้ถือกำเนิดขึ้น
ถัดมาในช่วงปี 1950-1960 ตอนปลาย ในช่วง “La Dolce Vita Years” ที่แปลว่า “ปีแห่งชีวิตอันหอมหวาน” ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่อิตาลีเจริญรุ่งเรืองหลังจากการทำลายของระบบฟาสซิสต์และสงคราม ชาวอิตาเลียนได้ยืนหยัดในวัฒนธรรมเชิงสร้างสรรค์ของตนเองด้วยงานศิลปะ งานบันเทิงหรือด้านอุตสาหกรรม ซึ่งทำให้อิตาลีรวมถึงถนน Via dei Condotti กลายเป็นศูนย์กลางแห่งศิลปะและการออกแบบที่คับคั่งไปด้วยนักเขียน ศิลปินและดาราจากทั่วมุมโลก
ต่อมาในช่วง 1970 Bvlgari ได้เริ่มเดินทางทั่วโลกโดยการมีหน้าร้านที่ New York, Paris, Geneva และ Monte Carlo จากนั้น ในปี 1975 มุมมองการทำธุรกิจของ Bvlgari ก็ได้เติบโตขึ้น ทางแบรนด์ได้เริ่มเข้าสู่วงการผลิตนาฬิกาอย่างเป็นทางการและผลิตนาฬิกาของ Bvlgari เป็นเรือนแรกในปี 1975 และได้ก่อตั้ง Bvlgari Time Company ขึ้นที่ประเทศสวิสเซอร์แลนด์เพื่อควบคุมการผลิตของนาฬิกา Bvlgari โดยเฉพาะ
ในปี 2011 Bvlgari ได้ตัดสินใจร่วมพันธมิตรกับ LVMH Moet Hennessy Louis Vuitton SA อาณาจักรแบรนด์หรูที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่มีสินทรัพย์รวมในปี 2018 อยู่ที่ 128.6 พันล้านยูโร (หรือประมาณ 4,700 พันล้านบาท) เพื่อสภาพคล่องทางการเงินและโอกาสในการเติบโตที่สูงขึ้น ภายในข้อตกลงดังกล่าว หุ้นของครอบครัว Bvlgari ได้ถูกโอนไปให้ LVMH รวมเป็นมูลค่ากว่า 4.3 พันล้านยูโร (หรือประมาณ 156 พันล้านบาท) ซึ่งครอบครัว Bvlgari ได้มอบหุ้นของแบรนด์ 50.4 เปอร์เซ็นให้กับ LVMH เพื่อแลกกับ 3 เปอร์เซ็นของ LVMH นอกจาก Bvlgari ยังมีอีกหลากหลายแบรนด์ที่อยู่ภายใต้ LVMH เช่น Zenith, Tag Heuer, Christian Dior, Celine เป็นต้น
ที่มาของ Serpenti
ถึงแม้แบรนด์ Bvlgari จะมาเติบโตที่อิตาลีแต่แน่นอนว่าพื้นฐานของดีไซน์เครื่องประดับและนาฬิกาจาก Bvlgari ได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมจากทั่วโลกรวมถึงรกรากของผู้ให้กำเนิดแบรนด์อย่าง Sotirios Voulgaris ผู้เป็นชาวกรีก เพราะคอลเลชั่น Serpenti ก็ได้รับแรงบันดาลใจจากตัวละครหนึ่งในนิทานปกรณัมของกรีกโรมันเช่นกัน
จากตำนานกรีกโบราณของ Zeus และ Hera ที่ชาวกรีกถือว่าเป็นมนุษย์คู่แรกที่อาศัยอยู่ในสวรรค์ “Garden of the Hesperides” ตำนานนี้มีทั้งงูและต้นแอปเปิ้ล ซึ่งไปตรงกับเรื่องราวของศาสนาคริสต์ หลายท่านคงเคยได้ยินชื่อของอดัมและอีฟกันมามากพอสมควรในฐานะตำนานมนุษย์สองคนแรกของโลกที่ได้ถือกำเนิดขึ้น ภาพด้านบนคือส่วนหนึ่งในพระธรรมปฐมกาล (Book of Genesis) ซึ่งเป็นบทแรกของ พระคัมภีร์เก่า (Old Testament) ซึ่งเป็นหนังสือปฐมกาลก่อนเริ่มต้นมีมนุษย์ ที่พระเจ้าได้สร้างสรวงสวรรค์และมนุษย์อีกสองคนขึ้นมา จากภาพเราจะเห็นอดัม อีฟ แอปเปิ้ล และงู ซึ่งงูเจ้าเล่ห์ตัวนี้ได้ลวงให้อีฟกินผลไม้ต้องห้ามจาก “Tree of Knowledge of Good and Evil” โดยการบอกเธอว่าถ้าหากกินเข้าไปแล้วเธอจะเป็นผู้ล่วงรู้ความผิดชอบชั่วดีเหมือนพระเจ้า เมื่อเรื่องนี้ถึงหูของพระเจ้า อดัมกับอีฟจึงโดนเนรเทศออกจากสวนเอเดน ออกไปพบกับดินแดนที่มีโรค ความเจ็บปวด และความตาย ซึ่งเรียกว่า “โลกมนุษย์” และงูถูกสาปให้คลานบนท้องของมันและกินฝุ่นไปตลอดชีวิต และถูกขนานนามว่าเป็น “Devil of the Eden”
มากไปกว่านั้น ในตำนานกรีก ยังมี “Asclepius” แอสคลีเพียส เทพเจ้าแห่งการแพทย์ การรักษา และการฟื้นคืนชีพ ในตำนานเทพปกรณัมกรีกในยุคกรีกโบราณ แอสคลีเพียส เป็นตัวแทนของการรักษาทางการแพทย์ ซึ่ง “Rod of Asclepius” ไม้คฑาของเทพแอสคลีเพียสกลายเป็นสัญลักษณ์ทางการแพทย์ที่เราคุ้นเคยกันดี ซึ่งมีลักษณะเป็นงูเลื้อยพันท่อนไม้ ซึ่งองค์กรอนามัยโลกอย่าง WHO(World Health Organization)หรือแม้แต่กระทรวงสาธารณสุขในประเทศไทยเองก็ใช้สัญลักษณ์นี้เช่นกัน
นอกจากในตำนานกรีกและพระคัมภีร์ของศาสนาคริสต์ งูยังมีอีกหลายบทบาทและความหมายในแต่ละวัฒนธรรม เช่น ในชนเผ่าพื้นเมืองอเมริกัน, ชนเผ่ามายาและแอซเท็ค, ชาวเปอร์เซีย, ชาวจีน, ชาวฮินดู, ชาวแอฟริกา และชาวออสเตรเลีย งูเป็นตัวแทนแห่งพลังงาน, ภูมิปัญญา, ความนิรันดร, ความสมบูรณ์, ความเป็นอมตะ, ความต้องการทางเพศ, การปกป้อง และ เป็นสื่อกลางระหว่างลูกหลานและวิญญาณบรรพบุรุษ ส่วนในกรุงโรมซึ่งเป็นจุดกำเนิดของ Bvlgari งูมีความหมายที่หอมหวานอย่างความรักชั่วนิรันดร์และความรอบรู้
แต่แล้วงูก็ไม่ได้เป็นเพียงแค่ความหมายนามธรรมอีกต่อไป เมื่อมนุษย์ได้ริเริ่มนำรูปทรงของงูมาดัดแปรงเป็นเครื่องประดับเนื่องจากรูปร่างของงูนั้นเหมาะแก่การนำมาพันรอบข้อมือและคอ ชาวอียิปต์ก็เป็นหนึ่งในชนชาติแรกๆที่ทำเครื่องประดับรูปทรงงูประมาณ 3,100 - 2,170 ปีก่อนคริสตกาล ตั้งแต่ราชวงศ์แรก ฟาโรห์และพระราชินีแห่งอียิปต์รวมถึงพระนางคลีโอพัตราก็ใส่กำไลข้อมือที่ประดับด้วยรูปทรงงูหรือมงกุฎที่มี “Uraeus” งูยูเรอัสซึ่งเป็นงูจงอางแผ่แม่เบี้ยชูคออยู่บนยอดเพื่อแสดงถึงอำนาจสูงสุดและสถานะเสมือนพระเจ้า
เช่นเดียวกับราชวงศ์ฝั่งแดนตะวันตกของยุโรป Queen Victoria แห่งราชวงศ์อังกฤษก็เป็นอีกหนึ่งแฟชั่นไอคอนในรัชสมัยของพระองค์ ตั้งแต่ช่วง 1837 แหวนหมั้นของพระองค์ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้คนหันมาแสวงหาเครื่องประดับรูปทรงงูมาครอบครอง ในยุคสมัยนั้นมักนิยมการใช้ “Birthstone” หรืออัญมณีประจำวันเกิดของเจ้าสาวเป็นส่วนประกอบในแหวนหมั้น ซึ่งแหวนหมั้นรูปทรงงูจากทองคำของพระองค์ใช้มรกตเป็นแร่หลักในการทำแหวนเนื่องจากพระองค์เกิดในเดือนพฤษภาคมจึงมีทับทิมและเพชรประดับ แหวนหมั้นนี้ทำให้งูกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งการผูกมัดและความรอบรู้ในยุคนั้น
ตำนานโบราณและประวัติศาสตร์ทั้งหมดนี้คือที่มาและเป็นแรงบันดาลใจให้กับเครื่องประดับรูปทรงงูที่ใช้กันอยู่ทั่วทุกมุมโลกรวมถึง Bvlgari Serpenti
วิวัฒนาการ Serpenti
1940s -------------------------------------
Bvlgari ได้เริ่มทำเครื่องประดับและนาฬิกาที่ได้รับแรงบันดาลใจจากงูครั้งแรกเมื่อช่วงปี 1940 รุ่นแรกเริ่มได้ถูกดีไซน์ขึ้นในสไตล์ “Machine Age” ในช่วงปี 1918 ซึ่งเป็นยุคที่ยุโรปกำลังระส่ำระสายหลังสงครามโลกครั้งที่1 แต่ฝั่งสหรัฐกำลังเข้าสู่ช่วงเฟื่องฟูในการพัฒนาสิ่งแวดล้อมที่มนุษย์สร้างขึ้น เช่น นวัตกรรมใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นถนนคอนกรีต ตึกสูงเสียดฟ้า เครื่องบิน รถไฟหรือรถยนต์ก็ได้ถูกสร้างขึ้นในช่วงนี้ ซึ่งผลงานของศิลปินในช่วงนั้นจะได้รับแรงบันดาลใจมาจากนวัตกรรมเหล่านี้เพื่อเป็นการสรรเสริญให้กับชีวิตที่ดีขึ้น รวมถึงเครื่องประดับและนาฬิการูปทรงงูรุ่นแรกของ Bvlgari ด้วย สินค้ารุ่นแรกในคอลเลคชั่น “Serpenti” คำภาษาอิตาเลี่ยนที่แปลว่า งู ก็ได้รับแรงบันดาลใจมาจากยุคแห่งเครื่องจักรกลเช่นนี้ อย่าง “Tubogas” คำภาษาอิตาเลี่ยนที่แปลว่า ท่อส่งแก๊ส หรือ ท่อบิดเกลียว ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในเครื่องจักรที่เริ่มใช้ตั้งแต่ปี1920 จนเกิดเป็น “Bvlgari Serpenti Tubogas” มีลักษณะเป็นกำไลข้อมือที่สามารถพันรอบข้อมือได้ มาพร้อมกันหน้าปัดทรงหัวงูขนาดเล็ก ลักษณะพิเศษของมันคือ เป็นแถบโค้งมนที่สามารถดัดได้และไม่มีเข็มขัดสายที่เป็นตัวช่วยให้นาฬิกาอยู่ติดกับข้อมือผู้สวมใส่แบบนาฬิกาทั่วไปเพราะผู้สวมใส่สามารถใช้สายหางงูนี้พันรอบแขนได้ตามสะดวก Serpenti ในยุคแรกจะสามารถพันได้ประมาณสองรอบซึ่งอาจไม่แน่นหนาพอสำหรับนาฬิการูปแบบกำไลข้อมือที่ไม่มีเข็มขัดสาย
1950s -------------------------------------
ในช่วงกลางยุค1950 Bvlgari ได้ทดลองปรับส่วนตัวเรือนที่เป็นลักษณะหัวงูให้ดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น โดยทำให้หน้าปัดที่เป็นหัวงูมีรูปทรงที่เป็นหัวงูจริงๆ ไม่ใช่เพียงหน้าปัดที่ราบไปกับตัวเรือน ซึ่งดีไซน์ทำให้เกิดหน้าปัดงูแบบมีฝาเปิด ที่ถูกเรียกว่า “Secret Watch” เนื่องจากหน้าปัดถูกซ้อนไว้ด้านใน ทำให้นาฬิกาดูกลายเป็นเครื่องประดับ เมื่อมองเพียงผิวเผินแต่ก็สามารถบอกเวลาได้เมื่อเปิดฝาหน้าปัดขึ้น อย่างไรก็ตาม การเปิดฝาหน้าบ่อยหรือลืมปิดฝาแล้วไปกระแทกโดยไม่ได้ตั้งใจอาจทำให้เกิดความเสียหายได้ ซึ่งดีไซน์นี้จะใช้เทคนิคการซ้อนเครื่องกลไกไว้ในส่วนหัวงู ภายใต้ฝาปิดบานพับ เครื่องภายในจะเป็นระบบไขลานที่ผลิตโดย Jaeger-LeCoultre, Vacheron Constantin, Piaget และ Movado ซึ่งบางครั้งหน้าปัดจะมีการ “Co-signed” หรือการประทับโลโก้ของผู้ผลิตระบบกลไกภายในของนาฬิกานั้นๆ และมีโลโก้ Bvlgari อยู่ที่ตัวเรือนแทน และในช่วง 1950-1970 นาฬิกา Serpenti ทุกเรือนจะมีลวดสปริงจาก White gold อยู่ด้านใน ซึ่งทำให้สายมีความยืดหยุ่นมากแต่ยังคงพอดีกับข้อมือ
1960s -------------------------------------
มาในปี 1962 นาฬิกางูคอลเลคชั่น Serpenti ของ Bvlgari ก็ได้ดังเป็นพลุแตกเมื่อ Elizabeth Taylor ซุปเปอร์สตาร์ที่รับบทเป็นพระนางคลีโอพัตราในภาพยนตร์เรื่อง “Cleopatra” ในปี 1963 เธอหลงไหลในเครื่องประดับทุกชนิดและมักจะใช้เวลาในร้าน Bvlgari สาขาถนน Via Condotti ในโรมอยู่บ่อยครั้ง ทั้ง “Eddie Fisher” สามีของเธอในขณะนั้นและ “Richard Burton” นักแสดงร่วมของ Elizabeth ในภาพยนตร์ดังกล่าวที่มีข่าวรักๆใคร่ๆกับเธอในช่วงนั้นก่อนที่จะได้สมรสกันในปี 1964 มักจะซื้อเครื่องประดับงูจาก Bvlgari แข่งกันเพื่อเอาใจเธอ และในปี 1962 Elizabeth ได้สวม Bvlgari Serpenti Watch ในสายทองคำ ประดับด้วยเพชรและตาจากพลอยสีเขียวมรกต ที่มีฝาปิดบานพับปิดหน้าปัดนาฬิกาไว้และถ่ายภาพออกสื่อในขณะที่กำลังถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง Cleopatra ในกรุงโรม จนกลายเป็นตัวจุดประกายให้ Serpenti มาเป็นที่หมายปองของสาวๆในยุคนั้น
นอกจากนี้ ในช่วงกลางยุค 1960 มีอีกสิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนไปอย่างชัดเจนคือ Scale (อัตราส่วน) ที่ใช้ในองค์ประกอบของนาฬิกา ไม่ว่าจะเป็นการประดับด้วยอัญมณีที่เจียระไนแบบเหลี่ยมหรือแต่งโดยการลงยาหลากสีและยังทำให้ภายนอกดูเป็นหนังงูที่เสมือนจริงมากขึ้นโดยการใช้รูปทรงห้าเหลี่ยมตกแต่งทั้งตัวเรือนและสายเพื่อเลียนแบบเกล็ดงูและใช้เทคนิค “Polychrome enamel” หรือลงยาสีต่างๆ ซึ่งต้องลงยาและเผาไฟก่อนที่องค์ประกอบจะถูกใส่เข้าไปในนาฬิกาโดยการไขสกรูขนาดเล็กไว้ จึงสร้างมิติให้กับนาฬิกามากกว่าสายใน Tubogas แบบต้นฉบับ และส่วนหัวของงูที่บรรจุหน้าปัดและกลไกไว้ภายนะมีรูปทรงไข่และรีมากกว่าเดิม
1970s -------------------------------------
เครื่องประดับที่หรูหราตระการตาสำหรับใส่ในโอกาสพิเศษไม่เป็นที่นิยมแบบเมื่อก่อน สังคมและสไตล์ของคนยุคนี้เปลี่ยนไป พวกเขาต้องการแค่เพียงความธรรมดาเท่านั้น ในยุค 1970 นาฬิกาที่ถูกตกแต่งจนล้นและมาในแบบ Scaled designed หรือชิ้นส่วนของเกล็ดงูทรงห้าเหลี่ยมที่เราได้เห็นกันไปแล้วนั้น กลับถูกเมินเฉยในยุคนี้ Bvlgari จึงงัดทีเด็ดรุ่นเก๋าอย่าง Tubogas หรือดีไซน์แบบ “ท่อบิดเกลียว” ที่เรียบง่ายกลับมาปรับให้ทันสมัยมากขึ้นจนเป็นที่นิยมอีกครั้ง
และในช่วงปีนี้ Bvlgari ก็ได้นำเสนอ Serpenti ที่มีการผสมผสานระหว่างสายจากวัสดุสองชนิดอย่างทองคำและเหล็กกล้าเข้าด้วยกัน ซึ่งถือว่าเป็นนวัตกรรมที่ซับซ้อนพอสมควร เนื่องจาก Steel หรือเหล็กกล้ามีความแข็งกว่าทองคำและต้องการอุณหภูมิสูงกว่าเพื่อทำให้หลอมละลายจึงทำให้รุ่นที่ใช้สายผสมระหว่างทองคำและเหล็กกล้ามีราคาสูงกว่ารุ่นที่เป็นทองคำทั้งเรือน
นอกจากนี้ ยุค 1970 ยังเป็นจุดสิ้นสุดของ “Co-signed Serpenti pieces” ซึ่งหมายความว่านาฬิกา Serpenti ทุกเรือนจะไม่มีการถูกประทับโลโก้ของผู้ผลิตระบบกลไกภายในอย่าง Jaeger-LeCoultre, Vacheron Constantin, หรือ Piaget เหมือนในยุคก่อน เนื่องจาก Bvlgari ได้เปิดโรงงานผลิตระบบกลไกภายในทั้งหมดเองในปี 1978
ซึ่งคุณ Fabrizio Buonamassa Stigliani ผู้เป็น Product Creation Executive Director ของ Bvlgari ได้กล่าวไว้ว่าส่วนหนึ่งที่ทำให้ Serpenti พิเศษกว่าใคร คือ การรวมร่างของสองวัฒนธรรมได้อย่างลงตัว ส่วนหัวงูใน Serpenti ประกอบไปด้วยตัวเรือน หน้าปัดและกลไกภายใน กำเนิดจากความชำนาญในการทำนาฬิกาของสวิตเซอร์แลนด์ และลำตัวงูอย่างส่วนสายและรูปลักษณ์ภายนอกได้ถูกรังสรรค์ขึ้นจากวัฒนธรรมการออกแบบของอิตาลี
1980s -------------------------------------
มาถึงช่วงปี 1980 ซึ่งเป็น “Decade of Logo-mania” หรือยุคแห่งการบ้าคลั่งโลโก้ จึงไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่ที่ Bvlgari ก็ตามเทรนด์นี้กับเขาเหมือนกันโดยการทำกรอบดีไซน์ “Bvlgari-Bvlgari” บน Tubogas Serpenti ซึ่งบนกรอบของตัวเรือนจะถูกสลักด้วยคำว่า Bvlgari ขนาดใหญ่สองคำรอบกรอบ และหัวงูที่เราคุ้นเคยกันดีในคอลเลคชั่น Serpenti ก็ได้กลายเป็นเรือนกลมธรรมดาๆ อาจจะเพื่อให้เอื้ออำนวยต่อการสลักโลโก้ลงบนรอบกรอบก็เป็นได้
2009 -------------------------------------
ปี 2009 นับว่าเป็นปีที่ Bvlgari ครบรอบ 125 ปี ซึ่งทางแบรนด์เฉลิมฉลองโดยการออก Bvlgari Serpenti Jewelry ตัวใหม่แบบพันข้อเดียวที่มาในดีไซน์ “Scaglie” ซึ่งก็คือดีไซน์นาฬิกาที่ดัดแปลงอัตราส่วนขององค์ประกอบต่างๆ โดยการใช้รูปทรงเรขาคณิต ซึ่งคำว่า “Scaglie” คือภาษาอิตาเลี่ยนที่แปลว่าสเกลหรืออัตราส่วน เพื่อสื่อถึงรูปทรงต่างๆที่นำมาใช้ในชิ้นส่วนนาฬิกา ตัวเรือนทำจากทองคำโรสโกลด์ 18k ขัดเงาพร้อมเพชร 6 เม็ด น้ำหนักรวมประมาณ 0.45 กะรัต ส่วนหัวงูที่เป็นตัวเรือนจะมีความเป็นสามเหลี่ยมมากขึ้น หน้าปัด Mother-of-pearl (เปลือกหอยมุก) หรือ Onyx black (หินนิลสีดำ) หลักเวลาประดับเพชร 33 เม็ดน้ำหนักรวม 0.66 กะรัตและอัตราส่วนหรือรูปทรงของสายจะไม่ใช่รูปแบบ ท่อ Tubogas แบบมนธรรมดาๆแต่จะมีความเหลี่ยมมากขึ้นหรือเป็นสี่เหลี่ยมคางหมูต่อกันเป็นลำตัวงูแทน ซึ่งสายมาในหลายวัสดุ เช่น ทองคำฝังเพชรสลับกับ Onyx black ดังภาพที่มีสายประดับด้วยเพชร 95 เม็ด น้ำหนักรวม 7 กะรัต กลไกภายในเป็นระบบ Quartz สามารถกันน้ำได้ที่ความลึก 30 เมตร
2010 -------------------------------------
ทศวรรษที่ 21 เป็นช่วงเวลาที่ Serpenti มีตัวเรือนหลากหลายรูปทรงมาก ในปี 2010 ก็ได้เพิ่มตัวเรือนรูปทรงใหม่มาอีกเช่นกัน เป็นทรงหัวงูที่อยู่ตรงกลางระหว่างทรงไข่กับทรงสามเหลี่ยม หากเปรียบเทียบกับชนิดของงู ตัวเรือน Serpenti ของปี 2010 จะเป็นงูไม่มีพิษที่มีหัวทรงรี และ Serpenti ปี 2009 เป็นงูมีพิษที่มีหัวทรงสามเหลี่ยม นอกจากนี้สายยังเป็นแบบ Integrated ที่เชื่อมต่อกับตัวเรือนแบบไร้รอยต่ออีกด้วย และด้วยสไตล์ที่เรียบง่ายของ Serpenti 2010 ทำให้กลายเป็นต้นแบบให้กับรุ่นปัจจุบันจนเป็นที่นิยมถึงทุกวันนี้
Paolo Bulgari หลานชายของ Sotirios Bulgari ผู้ก่อตั้ง Bvlgari ได้ผลิตนาฬิกา Serpenti ในเวอร์ชัน Pink gold แบบพันสองรอบและประดับด้วยเพชรที่กรอบด้านข้างเพื่อเป็นของขวัญให้กับ Elizabeth Taylor ในปี 2010 นาฬิกาเรือนนี้ถือว่าเป็น Serpenti เรือนที่สี่ของ Elizabeth Taylor
2012 -------------------------------------
และแล้ว Bvlgari ก็ได้หวนคืนสู่ความหรูหราอีกครั้งในปี 2012 โดยการเปิดตัว Serpenti ที่ตัวเรือนประดับด้วยเพชรตระการตาต่างกับรุ่นก่อนหน้าที่เน้นความเรียบง่าย Serpenti ปี 2012 ได้หยิบ Serpenti ดีไซน์ Scaglie ของปี 2009 มาใส่เพชรเพิ่ม ตัวเรือนจากโรสโกลด์ 18k ขนาด 26 มม. หนา 8.25 มม. กรอบหน้าปัดประดับเพชร 6 เม็ด น้ำหนักรวม 0.45 กะรัต ซึ่งมาในสีขาวงาช้างที่เป็นหน้าปัด Mother-of-Pearl หรือเปลือกหอยมุก และสีดำเงา สายเป็นรูปแบบScaglie ซึ่งลักษณะโดยรวมของทั้งสายและตัวเรือนรักษาลักษณะเฉพาะของ Geometric forms หรือรูปทรงเรขาคณิตแบบ Serpenti 2009 ทั้งส่วนหัวแบบสามเหลี่ยมและข้อตามสายทรงสี่เหลี่ยมคางหมู แต่ของปี 2012 เป็นแบบพันสองรอบ ประดับด้วยเพชร 100 เม็ดน้ำหนักรวมประมาณ 3.46 กะรัต หลักชั่วโมงประดับเพชรจำนวน 33 เม็ด น้ำหนักรวมประมาณ 0.06 กะรัต เหมือนในปี 2009 เครื่องที่ใช้ภายในเป็นระบบ Quartz ที่พัฒนาและผลิตโดย Bvlgari เอง สามารถกันน้ำได้ที่ระดับความลึก 30 เมตร
2015 -------------------------------------
สายแบบพันหลายรอบอาจดูเยอะและไม่ตอบโจทย์กับใครหลายคน แต่ในปี 2015 Bvlgari ได้ทำให้ Serpenti กลายเป็นงูตัวเล็กสาย Minimal ที่สั้นลงและไม่มีการพันหลายรอบให้ยุ่งเหยิงเหมือนรุ่นก่อนๆ โดยการใช้ดีไซน์ “Head-over-Tail style” ที่มีลักษณะเหมือนงูคาบหาง แต่ยังคงรักษารูปแบบ “Geometric form” หรือรูปทรงเรขาคณิตของ Serpenti 2009 ไว้อยู่ นอกจากโทนสีดำจาก Onyx black(หินนิลดำ) ที่เป็นสีสุดคลาสสิคของ Bvlgari แต่งูคาบหาง Serpenti 2015 ที่มาในรูปแบบกำไลข้อมือรอบเดียวนี้ยังมีสีอื่นๆอีก เช่น ตัวเรือนสีทองประดำเพชรและตัวเรือนเคลือบแลคเคอร์สีแดงสดประดับเพชร นอกจากนี้ Serpenti 2015 ต่างกับรุ่นก่อนๆตรงที่มีกลไกในการปิด คือ “Double pressure-button” ซึ่งถูกใช้แทนที่สายหางงูที่ใช้พันรอบข้อมือหลายรอบ Double pressure-button สะดวกแก่การถอดเข้าออกและสวมใส่สบายมากกว่า
2016 -------------------------------------
2016 เป็นปีที่ส่องแสงระยิบระยับของ Serpenti เนื่องจาก Bvlgari ได้ออก Serpenti Incantati ที่ประดับด้วยเพชรจำนวนมาก ที่สำคัญตัวเรือนและสายไม่ใช่ลักษณะของงูพันข้อมือแบบที่เราคุ้นเคย แต่เป็นสายข้อมือหนังและตัวเรือนกลมที่มาพร้อมกับงูตัวจิ๋วพันรอบหน้าปัด ซึ่งส่วนหัวและหางของงูจะทับกันพอดี ด้วยรูปทรงของตัวเรือนที่เปลี่ยนไป Bvlgari จึงสามารถทำให้ขนาดของหน้าปัดใหญ่ขึ้นได้โดยไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงรูปทรงของหัวงูทรงสามเหลี่ยมอีกต่อไป ตัวเรือนกลมของ Serpenti Incantati มาในขนาด 37 มม. สายหนังจระเข้พร้อม Pin Buckle ตัวเครื่องด้านในเป็นระบบ Quartz กันน้ำได้ที่ระดับความลึก 30 เมตร แต่สิ่งที่พิเศษคือ Serpenti Incantati ในเวอร์ชันกลไก Tourbillon (ตูร์บิยง) ใช้เครื่องภายในแบบระบบกลไกไขลานที่ได้ห่างหายไปจาก Bvlgari เป็นเวลานาน ซึ่งในรุ่น Tourbillon ตัวเรือนถูกทำขึ้นมาในรูปแบบ Skeletonized หรือทำให้เหลือแค่โครงเพื่ออวดโฉมกลไกชั้นสูงด้านใน
2016 -------------------------------------
ในปี 2016 Bvlgari ได้เปิดตัวคอลเลคชั่น Serpenti Spiga ซึ่งเป็นการกลับมาของ Tubogas ท่อบิดเกลียวในตำนานหรืองูพันรอบแขนแต่มาพร้อมกับลวดลายหยักบนตัวงู ต่างกับลายเส้นตรงบนสายรุ่นก่อนๆ ซึ่ง Serpenti Spiga มาในสองสี ประกอบด้วยสีขาวและดำที่ทำขึ้นจากเซรามิก ซึ่งเซรามิกถึงแม้จะดูเหมือนเป็นวัสดุที่เปราะบาง แต่ความจริงมีความแข็งสูงมากกว่าทองคำหรือเหล็กกล้าอยู่สามถึงสี่เท่า และเป็นรอยได้ยาก ถึงแม้จะถูกใช้มาเป็นเวลานาน นอกจากนี้ยังเป็นวัสดุ Hypoallergenic ที่ไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้ เนื่องจากเซรามิกไม่มีส่วนผสมของโลหะต่างกับ Steel หรือเหล็กกล้า ดังนั้นนาฬิกาหรือเครื่องประดับที่ทำขึ้นจากเซรามิกจึงเป็นมิตรต่อผู้มีผิวบอบบางแพ้ง่าย ถ้าหากท่านมีอาการแพ้นิกเกิล การเลือกนาฬิกาเซรามิกก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดี
2017 -------------------------------------
ในปี 2017 Bvlgari ก็ได้เปิดตัว Serpenti Twist ที่เป็นเวอร์ชันลูกออกมาให้มีสไตล์ที่ดูเด็กขึ้น ทันสมัยขึ้นและสามารถใส่ได้ในชีวิตประจำวันโดยการใช้สายหนังงูที่พันได้สองรอบแทนสาย Tubogas แบบดั้งเดิม ซึ่งเหล่า Serpenti Twist มีอีกหนึ่งจุดพิเศษตรงที่ใช้ระบบ Quartz และเพิ่มความสามารถในการกันน้ำในระดับที่ลึกกว่าเรือนอื่น ๆ ในคอลเลคชั่น Serpenti ที่ปกติจะกันน้ำได้ที่ระดับความลึกเพียง 30 เมตร แต่ใน Serpenti Twist สามารถกันน้ำได้ที่ระดับความลึกถึง 50 เมตร อย่างไรก็ตาม ด้วยธรรมชาติของสายหนัง ผู้สวมใส่ควรหลีกเลี่ยงไม่ให้สายโดนน้ำโดยตรงเพื่อถนอมและยืดอายุการใช้งานของสายหนัง
และในช่วงปีนี้ยังได้ เปิดตัวนาฬิการูปแบบเครื่องประดับในคอลเลคชั่น Serpenti Seduttori เป็นครั้งแรก ซึ่งมาในรูปแบบนาฬิกาแบบมีฝาเปิดปิด ตัวหน้าปัดถูกซ้อนไว้ใต้ฝาหัวงู ส่วนด้านบนสุดของหัวงูถูกประดับด้วย Cabochon sapphire หรือ Cabochon ruby ซึ่งเป็นคริสตัลแซฟไฟร์หรือทับทิมขนาดใหญ่ที่ถูกเจียระไนแบบหลังเบี้ยให้เป็นโดมหรือมีลักษณะโค้งมน และยังมีอีกหลายดีไซน์ที่ตกแต่งด้วยเพชรและอัญมณีชนิดอื่นในหลากหลายรูปทรง
2018 -------------------------------------
ในปี 2018 สายงู Serpenti ได้เลื้อยข้ามไปคอลเลคชั่นอื่นของ Bvlgari อย่างคอลเลคชั่น LVCEA ที่นำทั้งสายท่อ Tubogas และสายดีไซน์ Scaglie หรือสายรูปทรงเรขาคณิตมาใช้ในคอลเลคชั่นนี้ นอกจากนี้ยังมี Serpenti Misteriosi Pallini นาฬิการูปแบบ Secret watch ที่มีหน้าปัดซ้อนอยู่ภายใน แต่สิ่งแปลกใหม่ที่เราไม่เคยเห็นกันมาก่อนคือดีไซน์ของสายแบบ “Pallini” เป็นคำภาษาอิตาเลี่ยนที่มีความหมายว่าลูกบอลทองดังลักษณะของสายที่เต็มไปด้วยทองคำโรสโกลด์ 18k ที่ถูกทำให้เป็นลักษณะกลมเหมือนลูกบอลขนาดเล็กตกแต่งอยู่รอบสาย ส่วนหัวและหางทำจากทองขาวประดับเพชร และมีมรกตทรงลูกแพร์สองเม็ดประดับเป็นลูกตาของงู
Serpenti Seduttori คอลเลคชั่นใหม่ล่าสุด
เราเดินทางมาจนถึงคอลเลคชั่นใหม่อย่าง Serpenti Seduttori ในปี 2019 มาในรูปแบบใหม่ยกเครื่องราวกับเป็นงูสายพันธ์ใหม่จาก Bvlgari ซึ่งดีไซน์ของ Serpenti รุ่นใหม่ล่าสุดนี้เน้นที่อัตราส่วนและรูปทรงที่ถูกนำมาใช้ โดยเฉพาะส่วนสายเป็นการใช้รูปทรงวงรีเพื่อเลียนลักษณะของเกล็ดหนังงูแต่ยังคงความโมเดิร์นไว้ ซึ่งมองผิวเผิน สายของ Serpenti Seduttori คล้ายกับสายแบบ Beads of Rice ซึ่งเป็นดีไซน์สายนาฬิกาสุดคลาสสิกจาก Gay Frères ผู้ผลิตสายนาฬิกาชื่อดังสัญชาติสวิสในยุคก่อน แต่สายของ Seduttori จะมีความแบนแทนลักษณะสายกลมนูนเหมือนเมล็ดข้าว แต่สายทั้งสองก็ถูกขัดเงาขั้นสุดแบบ Highly Polished Finish เช่นกัน ถึงแม้การขัดเงาแบบนี้อาจทำให้นาฬิกาดูมีราคามากขึ้นแต่ มักจะเป็นรอยได้ง่ายกว่าสายที่ถูกขัดในลักษณะอื่น เช่น การขัดแบบด้าน
ตัวเรือนขนาด 33 มม. ของ Seduttori มาในหลายวัสดุ ไม่ว่าจะเป็น Steel, 18k Yellow Gold, 18k Rose gold, White gold หรือแบบสองกษัตริย์ เครื่องภายในใช้เป็นระบบ Quartz มีฟังก์ชันเข็มชั่วโมงและนาทีตามแบบฉบับของ Serpenti ทุกรุ่น ความสามารถในการกันน้ำแตกต่างกันออกไปใน Seduttori แต่ละรุ่น อย่าง Ref.103148 ตัวเรือน White gold, Ref. 103169 ตัวเรือน Rose gold, และ Ref. 103147 ตัวเรือน Yellow gold ซึ่งรุ่นทั้งหมดที่กล่าวมานี้ไม่มีเพชรประดับที่สาย จะสามารถกันน้ำได้ที่ระดับความลึก 30 เมตร ในขณะรุ่นสายประดับเพชรและรุ่นสองกษัตริย์ อย่าง Ref. 103274 ตัวเรือนสองกษัตริย์และ Ref. 103275 ตัวเรือน Rose gold พร้อมสายประดับเพชรจะสามารถกันน้ำได้ที่ระดับความลึก 50 เมตร
A. Serpenti Seduttori Watch Ref.103361: ตัวเรือนและสายจาก Stainless ตัวเรือนทรงหัวงู กรอบประดับเพชร หน้าปัดขาวเหลือบเงิน เม็ดมะยมประดับ Cabochon-cut pink rubellite (พลอยสีแดงคล้ายทับทิมเจียระไนแบบหลังเบี้ยหรือทรงกลมมน)
B. หลักโรมันที่ตำแหน่ง 6 และ 12 นาฬิกา หลักชั่วโมงที่เหลือเป็นหลักขีด
C. Serpenti Seduttori Watch Ref.103148: ตัวเรือน White gold หลักโรมันและหลักขีดเป็นสีฟ้า เม็ดมะยมประดับ Cabochon-cut sapphire (คริสตัลแซฟไฟร์สีฟ้าเจียระไนแบบหลังเบี้ยหรือทรงกลมมน)
D. เข็มสายที่ใช้เป็น Fold-over Clasp หรือเข็มขัดสายแบบบานพับ
E. Serpenti Seduttori Watch Ref.103275: ตัวเรือนจาก 18k Rose gold พร้อมสายและตัวเรือนประดับเพชร หน้าปัดสีขาว
F. Serpenti Seduttori Watch Ref.103274: ตัวเรือนสองกษัตริย์จาก 18k Rose gold และ Steel
G. ลักษณะสายแบบใหม่ของนาฬิกาตระกูล Serpenti ที่ใช้ข้อลักษณะวงรีต่อกันเพื่อเลียนแบบลักษณะของเกล็ดหนังงู
และรุ่นที่เราจะไม่พูดถึงไม่ได้เลยคือ Serpenti Spiga Watch Ref.103252 ที่เพิ่งออกมาใหม่ล่าสุดในปีนี้ ตัวเรือนและสายทำจาก 18k Rose gold ตัวเรือนขนาด 35 มม. หน้าปัดสีดำ มีกรอบประดับเพชร ความพิเศษจะอยู่ที่สายลายสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัดที่ถูกออกแบบให้คล้ายกับเกล็ดงูประดับเพชร เม็ดมะยมประดับพลอยเจียระไนแบบหลังเบี้ย ตัวเครื่องภายในเป็นระบบ Quartz มีฟังก์ชันเข็มชั่วโมงและนาทีและสามารถกันน้ำได้ที่ความลึกระดับ 30 เมตร นอกจากนี้ยังมีรุ่นอื่นที่มาพร้อมหน้าปัดสีอื่นและลักษณะสายแบบพันข้อเดียว เช่น Serpenti Spiga Watch Ref.103250 ที่มีหน้าปัดแบบ Mother-of-pearl หรือเปลือกหอยมุกและสายเป็นแบบพันข้อมือรอบเดียว
เปิดลุค Celebrities ที่เฉิดฉายใน Bvlgari Serpenti
นาฬิกากำไลข้อมืองู Serpenti ไม่เพียงตราตรึงใจสาวๆนักสะสมนาฬิกาแต่ยังเป็นที่นิยมท่ามกลางเหล่าซุปเปอร์สตาร์ทั่วโลกอีกหลายท่าน เรามาเริ่มที่คนแรกกันเลย ซึ่งจะไม่พูดถึงเธอคนนี้คงไม่ได้ เพราะเธอคือ Lisa Blackpink หรือ ลิซ่า ลลิษา มโนบาล นักร้องไอดอลเกาหลีเชื้อชาติไทยผู้เป็น Global Brand Ambassador ของ Bvlgari
ในวันที่ 24 กรกฎาคม 2020 Bvlgari ได้ออกมาประกาศอย่างเป็นทางการว่าทางแบรนด์ได้แต่งตั้งให้ลิซ่าเป็นแบรนด์แอมบาสเซเดอร์ (BA) คนใหม่ ด้วยความสามารถ การแสดงรวมถึงภาพลักษณ์และสไตล์ที่ทันสมัยของลิซ่าทำให้เธอกลายเป็นแฟชั่นไอคอนที่สาวๆทั่วโลกต้องตามเธอทุกย่างก้าว ทำให้ Bvlgari เชื่อมั่นว่าเธอจะทำให้ภาพลักษณ์ของแบรนด์ดูทันสมัยและเป็นที่นิยมมากขึ้น ในฐานะ BA คนใหม่ เธอได้เข้าร่วมแคมเปญของคอลเลคชั่น “Serpenti” และ “Bzero One” ซึ่ง Bzero One เป็นคอลเลคชั่นเครื่องประดับของทางแบรนด์ นอกจาก Bvlgari ลิซ่ายังเป็น Global Brand Ambassador ให้กับแบรนด์ระดับโลกแบรนด์อื่นๆอีก เช่น แบรนด์เครื่องสำอาง MAC และ Celine ที่โด่งดังในเรื่องของกระเป๋าหนัง ซึ่งลิซ่าก็ได้สร้างตำนานให้กับ Celine อีกเช่นกัน เพราะลิซ่าได้ทำให้กระเป๋า Celine ที่เธอใช้อยู่ต้อง Sold out ภายในเวลาอันสั้นเพียงแค่โพสต์ภาพใน Instagram ส่วนตัวเท่านั้น และเมื่อลิซ่าได้โพสต์ภาพคู่กับเครื่องประดับจาก Bvlgari ก็เรียกยอดกดไลค์ได้กว่า 6 ล้านไลค์ใน 2 วัน จนทำให้หลายคนสนใจและอยากทำความรู้จักกับเหล่าไอเทมเด็ดที่เฉิดฉายอยู่บนตัวเธอ
นาฬิกาที่ลิซ่าได้สวมอยู่ในภาพด้านบนคือ Serpenti Tubogas Watch Ref.102824 นาฬิกากำไลข้อมืองูแบบพันข้อเดียวในตัวเรือนและสายจาก Stainless steel ขนาด 35 มม. หน้าปัดสีดำมีการใช้ลูกเล่นสลักลาย Guilloché Soleil ที่มีลักษณะหมือนลำแสงพระอาทิตย์ เม็ดมะยมจากเหล็กกล้าประดับด้วย Cabochon-cut Pink Rubellite(พลอยสีชมพูเจียระไนแบบหลังเบี้ยหรือทรงกลมมน) ตัวเครื่องภายในเป็นระบบ Quartz มีฟังก์ชันเข็มชั่วโมงและนาทีและสามารถกันน้ำได้ที่ความลึกระดับ 30 เมตร ราคา 5,850 ยูโร หรือ 215,600 บาท แต่ถ้ารวมมูลค่าเครื่องประดับทุกชิ้นบนตัวเธอทั้งหมด ก็คงจะเหยียบหลักหลายล้านบาทเลยทีเดียว
อีกหนึ่งลุค ลิซ่ามาใน Serpenti Seduttori Watch Ref.103146 ตัวเรือนและสายจาก 18k Rose gold ขนาดตัวเรือนอยู่ที่ 33มม. มีกรอบตัวเรือนประดับเพชร หน้าปัดสีขาวเหลือบเงิน เม็ดมะยมประดับด้วย Cabochon-cut Pink Rubellite เข็มขัดสายเป็น Folding buckle หรือเข็มขัดสายแบบบานพับจาก 18k Rose gold กลไกภายในเป็นเครื่อง Quartz มีฟังก์ชันเข็มชั่วโมงและนาที กันน้ำได้ที่ระดับความลึก 30 เมตร ราคา 29,000 ยูโร หรือ 1,057,500 บาทโดยประมาณ
ไปต่อกับซุปเปอร์สตาร์ฝั่งแดนกิมจิอย่าง Jessica Jung อดีตสมาชิกแห่ง Girl Generation วงเกิลกรุ๊ปเกาหลีชื่อดัง เจสสิก้าก็ได้เลือกสวม Serpenti Spiga Watch Ref.103060 ที่มาในตัวเรือนและสายจากเซรามิกสีน้ำตาลเข้ม รุ่นนี้เป็นสายแบบพันข้อเดียว ตัวเรือนขนาด 35 มม. กรอบตัวเรือนเป็น 18k Rose gold ประดับเพชร ส่วนสายของ Serpenti Spiga จะมีลักษณะเป็น Wavy Tubogas หรือมีลายหยัก ต่างกับสายแบบ Tubogas แบบดั้งเดิมที่เป็นลายเส้นตรง สายเซรามิกสีน้ำตาลถูกแซมด้วยข้อ 18k Rose gold หน้าปัดสีน้ำตาล ตัวเครื่องภายในเป็นระบบ Quartz มีฟังก์ชันเข็มชั่วโมงและนาที สามารถกันน้ำได้ที่ความลึกระดับ 30 เมตร ราคา 13,200 ยูโร หรือ 481,200 บาท
นอกจากเหล่าดารานักแสดง แต่ยังมีสมาชิกราชวงศ์ชั้นสูงจากเกาะอังกฤษอย่าง Lady Kitty Spencer แห่งตระกูล Spencer ผู้เป็นหลานสาวของเจ้าหญิงไดอานาแห่งเวลส์ก็ได้หลงไหลในนาฬิกาคอลเลคชั่น Serpenti และเธอยังเป็นหนึ่งใน BA ของ Bvlgari อีกด้วย
---------------------------
นอกจากพิษร้ายของงูที่ทำให้มันต้องกลายเป็นที่น่าเกรงขาม งูยังมีความหมายเชิงนามธรรมที่ดีและไม่ดีปะปนกันไปอยู่ในตำนานและประวัติศาสตร์ของแต่ละวัฒนธรรมทั่วโลก และเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจที่งูกลับกลายมาเป็นจุดกำเนิดของดีไซน์เครื่องประดับของ Bvlgari ที่บรรลือโลกจนเป็นที่นิยมในหมู่ดารานักแสดงชื่อดังตั้งแต่ Elizabeth Taylor ในยุค 1960 จนมาถึงปี 2021 ก็กลายเป็นไอเทมประจำกายของ Bvlgari Global Brand Ambassador อย่าง ลิซ่า Blackpink หนึ่งในแฟชั่นไอคอนอันดับต้นๆของโลกในปัจจุบันนี้ และเราเชื่อว่าแบรนด์เก่าแก่จากเมืองแห่งความรักอย่าง Bvlgari ต้องนำ Serpenti Secret Watch ที่หน้าปัดนาฬิกาถูกซ้อนไว้ด้านในกลับมาทำใหม่ให้เต็มไปด้วยความโมเดิร์นไม่ต่างกับเหล่า Serpenti Tubogas ที่เป็นรุ่นแรกเริ่มแต่ได้รับการปรับโฉมและกลับมาดังกระฉ่อนอีกครั้ง
Reference:
https://artsandculture.google.com/exhibit/years-of-dolce-vita/gRN8jY1y
https://fragrances.bg/blog/en/the-history-of-bvlgari/
https://en.wikipedia.org/wiki/Bulgari
https://www.ancient-origins.net/human-origins-religions/eden-there-was-hesperides-ancient-greek-religious-art-presents-different-021562
https://en.wikipedia.org/wiki/Rod_of_Asclepius
https://rasvetjewelryco.com/articles/2018/6/27/from-reeds-to-diamonds-a-brief-history-of-the-engagement-ring
https://www.victorbarbone.com/pages/queen-victoria-engagement-ring
https://www.revolution.watch/bulgaris-love-affair-with-the-serpent/
https://luxuothailand.com/watches/baselworld-2012-bulgari-serpenti.html
https://www.hushhush.com/th/watches/bvlgari/serpenti/bulgari-serpenti-jewelery-scaglie-26mm-spp26bgd1gd1o-1t-101790/
https://yourwatch.com/products/bvlgari-bulgari-serpenti-watch-101986
https://watchranker.com/ceramic-watches-pros-and-cons/
https://www.ablogtowatch.com/hands-on-the-bulgari-serpenti-misteriosi-pallini-womens-watch/
https://cities.trueid.net/article/%E0%B8%AA%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%B2-bvlgari-%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88-%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%8B%E0%B9%88%E0%B8%B2-blackpink-%E0%B9%83%E0%B8%AA%E0%B9%88-trueidintrend_188674
https://sudsapda.com/look-lerd/212494.html
https://www.ablogtowatch.com/history-present-bulgari-serpenti/
https://monochrome-watches.com/introducing-2020-bvlgari-rainbow-colour-wave-serpenti-watches/
https://timeandtidewatches.com/bulgari-serpenti-history/
https://www.history.com/news/snake-symbol-history-mythology
https://www.encyclopedia.com/humanities/culture-magazines/crowns
Commentaires